๐๐๕ ไม่กล้าสวดมนต์บทพระมหาจักรพรรดิ เพราะกลัวผี (ตอนที่ ๓ ตอนจบ)

ลุง : แล้วเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อวานที่ลุงเล่าเรื่องผีๆให้ฟัง พอจะคลายความกลัวผีได้บ้างหรือยัง

หลาน : แหะๆ …ยังกลัวอยู่ครับลุง

ลุง : ฮ่าๆๆๆ … ให้มันได้อย่างนี้สิ เหมือนลุงตอนเด็กๆ และหนุ่มๆเลย … ไม่ต้องรีบ มันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป พอฝึกไปเรื่อยๆพอเห็นจริง รู้ตามความเป็นจริง ความกลัวมันจะค่อยๆคลายตัว มันจะกลายเป็นความเมตตาสงสารไป เพราะจริงๆแล้วคนที่ตายแล้วนี่ถ้าไม่เข้าสู่แดนสุขคติภูมิ เขาจะลำบากมาก คนเราเวลาหิวยังหากินเองได้ ยังขอคนอื่นกินได้ ผี สัมภเวสี ที่ยังไม่มีที่ไปนี่ หิวก็ขอใครไม่ได้เพราะเขามองไม่เห็น นานๆทีจะมีญาติๆอุทิศบุญให้ที ก็คลายทุกข์เป็นคราวๆไป….

เมื่อวานนั่นลุงได้เล่าความยากของโอปปาติกะที่จะแสดงให้มนุษย์ได้ทราบ ได้เห็นการมีตัวตน แต่ความยากจริงๆมันอยู่ที่ตัวมนุษย์มากกว่า ด้วยเทคโนโลยีทางวัตถุอันก้าวไกล ความยุ่งเหยิงหัวฟูทางสังคม การแข่งขัน การเอาตัวรอด ทำให้สัมผัสทางจิตของมนุษย์ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ วิทยาศาสตร์กับจิตศาสตร์เป็นอะไรที่สวนทางกันเสมอๆ หาคนเก่งที่รวมสองสายทางนี้เข้าไว้ด้วยกันนั้นยากยิ่ง…

บางทีญาติเราที่ตายนี่ ที่ไปไหนไม่ได้ยังเป็นสัมภเวสี เขาตามติดเราเป็นปีๆ พยายามที่จะติดต่อกับเราตลอด ก็ยังติดต่อไม่ได้ เพราะอีตอนเป็นมนุษย์ก็ไม่เคยได้สนใจฝึกจิต ก็เลยไม่รู้วิธีการ กำลังจิตก็อ่อนแอ เพราะมัวยุ่งกับทางโลกมาก บางคนตอนมีชีวิตอยู่ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าตายแล้วต้องกลายเป็นผี ลองนึกๆดูสิเวลาเราโทรไปหาใครไม่ได้ โทรไปไม่รับสาย แค่นิดหน่อยก็ทุกข์แล้ว นี่คุยกะใครไม่ได้เลย…หิวก็ขอใครกินไม่ได้ คงจะทุกข์ไม่น้อย…

คือ…ถ้าผีหน้าตาไม่มีพิษภัยอย่างนี้ เราก็จะกลัวน้อยลง ใช่ไหมครับ?

การจะเห็นผีได้นี่ต้องมีเหตุได้แก่

๑. มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกัน เรียกว่าคลื่นต้องจูนกันติด ถ้าคนมีจิตดีนี่ก็จะเห็นเทพเทวดาได้ ถ้าจิตหม่นๆหน่อยก็เห็นผี วิญญาณชั้นไม่สูงมากนัก แต่คนที่ทำกรรมฐานจนมีกำลัง จะมองเห็นสัมผัสได้หลากหลายชั้นของภพภูมิได้มากขึ้นตามกำลัง

๒. สภาพแวดล้อมเอื้ออำนวย เช่น เป็นที่สงบหน่อย กระแสความวุ่นวายทางสังคมไม่มากนัก พวกพลังงานเชิงยุ่งเหยิงในเมืองใหญ่นี่มันกลบ มันบังโลกวิญญาณได้ดีมาก เหตุนี้เอง ในสังคมเมืองใหญ่ๆถึงเห็นผีกันได้น้อยกว่า สังคมชนบท ทั้งที่จำนวนผี จำนวน สัมภเวสีเร่ร่อนนี่ ทางเมืองใหญ่จะเยอะกว่า เพราะอัตราการตายด้วยโรค ด้วยอุบัติเหตุเยอะกว่า…

๓. ต้องผ่านการฝึกฝน หรือมีบุญเก่าในเรื่อง ญาณหยั่งรู้ ที่เขาเรียก “ทิพย์จักขุญาณ” หมายถึงการสัมผัสรู้เห็นด้วยใจคล้ายตาทิพย์ การสวดมนต์ ทำสมาธินั้นมี ๒ ขั้น คือขั้นฝึกกำลัง กับขั้นใช้กำลัง ซึ่งส่วนใหญ่ที่เราเรียนๆกัน เป็นขึ้นฝึกกำลังเสียมากกว่า ขั้นใช้กำลังไม่ค่อยมีใครสอนกัน หลายคนถึงบอกว่าทำสมาธิแล้วไม่ก้าวหน้าไง…และในขึ้นใช้กำลังนั้นก็มี อยู่ ๒ แนวทางคือ โลกียะคือทำฤทธิ์ อภิญญา เป็นต้น กับ โลกุตระ คือ วิปัสสนาเพื่อประหารกิเลส แต่ทั้ง ๒ อย่างนี้ผู้รู้จริงๆเขาทำพร้อมๆกัน เพราะเป็นสิ่งเกื้อกูลหนุนเนื่องกันและกัน หลายคนไม่เข้าใจ ก็มักจะปรามาสแนวทางโลกียะ นั่นเขาไม่เข้าใจนะ

๔. สภาวะร่างกาย และจิตใจเปิดรับ อย่างคนที่แข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง ถ้าไม่รู้จักอธิษฐานเปิดจิตรับสัมผัส ก็สัมผัสหรือมองเห็นอะไรไม่ได้ ข้อดีคือผีเข้า ผีอำไม่ได้ ผีทำร้ายไม่ได้ ข้อเสียคือ เวลาเขาจะมาแสดงตัวให้เห็น หรือมาบอกในฝัน ในนิมิต เขาก็มาบอกไม่ได้เช่นกัน บางทีก็เลยต้องไปเข้าฝันคนอื่นแล้วให้คนอื่นมาบอกแทน

หลักๆก็สี่ข้อนี่แหละ เป็นด่านหินมาก สรุปเลยว่าระหว่าง ๒ ภพจึงแยกจากันอย่างสิ้นเชิงมิใคร่จะติดต่อกันได้ง่ายๆ

หลาน : อย่างว่าสิครับลุง ผมไม่เคยเห็นผีเลย เพื่อนๆผมก็ไม่เคยเห็น แต่ทำไมผมกลัวหว่า …

ลุง : คนเรามักกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้… นี่กลัวเพราะโดนคนสร้างหนังหลอกเอา กลัวเพราะความไม่รู้ กลัวความมืด…ลองเปิดไฟหรือไปกลางวันหรือไปกับเพื่อนสักสิบคนสิ กลัวไหม ก็ไม่กลัว…หลวงตาม้าท่านว่าถ้ากลัวผี ได้ยินว่ามีผีตรงไหน ไปเลย ไปกลางวัน ไปกับเพื่อนๆด้วย บ่อยๆเข้าก็ไปกลางคืน เดี๋ยวมันจะชินแล้วเลิกกลัวเอง ความจริงพระท่านว่า “แท้จริงเรากลัวความตาย” ถ้าเลิกกลัวตายได้ ทุกอย่างเลิกกลัวหมด …หลานว่าจริงไหม..
หลาน : จริงครับ ผมกลัวผี เพราะผมเข้าใจผิดๆว่าผีจะมาทำร้ายผมได้ จะมาฆ่าผมได้ จะมาผลักผมตกบันไดได้ ความจริงแล้วผมกลัวใน “รากฐานความกลัวของมนุษย์” คือ กลัวเจ็บกลัวตายมากกว่าครับ

ลุง : เข้าใจได้ลึกซึ้งถูกต้องดีแล้วหลานเอ้ย ฮ่าๆๆๆๆ….

(โปรดติดตามเรื่องอื่นๆในตอนต่อไป)
หน๋านอรรถ
๙ พ.ค. ๕๗

สร้างสรรค์โดย ทีมงาน: ssbedu.com

แสดงความคิดเห็นด้วย Facebook
คะแนนเฉลี่ยที่ผู้อ่านให้
[จำนวนผู้โหวต: 2 คะแนนเฉลี่ย: 5]
Bookmark the permalink.

Comments are closed.