ได้ลิ้มมะม่วงอกร่องฉ่ำหวาน ค่อยมีเรี่ยวแรง ลุงชราจึงคุยกับหลานหนุ่มต่อ
ลุง : การที่ ผี หรือเทวดา ซึ่งต่อไปลุงขอเรียกเขารวมๆว่า “โอปปาติกะ” นะ ด้วยเพราะท่านเหล่านี้ กำเนิดขึ้นจากการเคลื่อนจากกายมนุษย์ สู่ร่างอาทิสมานกาย ตามจิตของเขาในขณะนั้น แบบทันทีทันใดคือเกิดขึ้นทันที ดังนั้นหากตอนมีชีวิตอยู่ ถ้าจิตเขาเป็นเปรตเพราะประพฤติเยี่ยงเปรต ด้วยมีความโลภเป็นเจ้าเรือนครองใจ ตายไปก็ไปเป็นเปรต คนที่พระพฤติเยี่ยงพรหม คือมีพรหมวิหารธรรมในใจ หรือทรงซึ่งกำลังฌาน เมื่อจิตเคลื่อนออกจากกาย เขาก็ไปเป็นพรหม อย่างนี้
หลาน : อ่า…ครับ (หลานวัยรุ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง)
ลุง : ดังนั้นคนที่มีตาใน เขาจะมองแล้วรู้เลย อีตาคนนี้ด่าเก่ง ขี้หงุดหงิด ก่อนตายถ้าขืนยังทรงอารมณ์แบบนี้ ไม่พ้นลงอบายภูมิ ท่านผู้รู้ท่านจึงเป็นห่วงจิตยิ่งกว่าสังขารภาพลักษณ์ภายนอก ท่านจะพยายามทรงจิตท่านให้อย่างน้อยเป็นจิตของเทวดาอยู่ตลอด คือจิตที่อยู่ใน หิริ-โอตัปปะ ด้วยวิธีการอันแยบคายต่างๆกันไป ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะ…
หลาน : ครับ
ลุง : การที่โอปปาติกะจะแสดงให้มนุษย์ได้รับทราบการมีอยู่ของเขานั้นแสดงได้โดย
๑. แสดงเป็นภาพเป็นรูปร่างให้เห็น
๒. แสดงเป็นเสียงให้ได้ยิน
๓. แสดงเป็นสิ่งที่ให้รู้ว่าเขามีตัวตน เช่น ทำกิ่งไม้หัก ทำลมพัด ทำเสียงฝีเท้า ทำให้เขาขนลุก หรือรู้สึกบางอย่างได้…
๔. เข้าครอบงำคนที่มีจิตใจอ่อนแอ ป่วย หรือมีกรรมบางอย่างเกี่ยวข้องกับเขา ที่เขาเรียก “ผีสิง” ถ้าตอนจะหลับก็เรียก “ผีอำ”
๕. คอยหาจังหวะ “อันเหมาะสม” เข้าฝันเขา
โดยโอปปาติกะแต่ละท่านนั้นจะมีความสามารถที่จะแสดงการมีอยู่ของเขาตามที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นนั้นโดยส่วนมากจะทำได้คราวละ ๑ อย่าง เรื่องนี้ อ.พันเอกพิเศษ ชมฯ ท่านกล่าวไว้ชัดเจน เพราะการแสดงตัวมันค่อนข้างทำยากมาก คิดง่ายๆ คิดถึงเราเองว่าเวลาเราตายเราจะห่วงคนข้างหลังไหม และเราจะอยากมาบอกเขาไหมว่าเราอยู่อย่างไร …ทุกๆคนก็อยากกลับมาบอกมาหาทั้งนั้น แต่ไปดูสิ มันมีกี่คนกัน หรือมีกี่ครั้งกันที่บุคคลเหล่านั้นกลับมาหาคนที่อยู่ข้างหลัง คือคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้…
เว้นแต่ โอปปาติกะที่มีกำลังสูงอย่างเทวดาที่มีกำลังมาก ท่านถึงจะแสดงได้ทั้งภาพทั้งเสียงเลย ซึ่งแบบนี้เกิดขึ้นน้อย ก็อย่างที่เล่าเมื่อกี้ กายมนุษย์มันเหม็นมาก เทวดาเขาไม่อยากเข้าใกล้เราหรอก มันต้องมีเหตุจริงๆอย่างตอนที่พระโพธิสัตว์ตกยาก แล้วพระอินทร์แปลงมาช่วย เช่น อย่างในเรื่องพระเวชสันดรชาดก ตอนที่พระอินทร์แปลงมาเป็นพราหมณ์มาชิงขอพระนางมัทรีก่อน ต้องระดับนี้ถึงทำการปรากฏให้ครบถ้วนได้…
หลาน : …งั้นแสดงว่า ในหนังที่มีผีมาแสดงศิลปะการหลอกหลอนได้น่าสยดสยอง ทั้งภาพ เสียง สัมผัส นี่ก็โม้สินะครับ
ลุง : ใช่ โม้ทั้งเพ รูปธรรมคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่จะแสดงเป็นกายหยาบของเขามันดับไปแล้ว เผลอๆเผาไปแล้วด้วย เหลือแต่กายละเอียด ที่ละเอียดขนาดเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ยังจับไม่ได้ แล้วนับประสาอะไร เขาจะมาทำอะไรเราได้ อย่างมาบีบคอนี่เขาทำเราไม่ได้ เว้นแต่อาศัยจังหวะจิตเราอ่อน บวกกับกรรมเราเข้า เขาจะใช้จังหวะนั้นบีบจิตเราให้เราบีบคอตัวเอง คือคล้ายๆสิงเรานั่นแหละ
หลาน : อ่ะ ลึกซึ้งจริงๆ ชักเริ่มสนุกล่ะครับ…
ลุง : แต่อย่าลืมที่ลุงเคยบอกนะ ใดๆในโลกนี้ไม่ตายตัว มีข้อยกเว้นเสมอ…โอปปาติกะบางตนทำได้ ด้วยเหตุและปัจจัยบางประการ เหมือนอย่างตำนานแม่นาคน่ะ…แต่ส่วนมากแล้วเขาทำไม่ได้กัน อีกอย่าง ที่เขาทำได้เขาก็มักไม่ทำเสียด้วยน่ะสิ 555 …
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ผู้กองอรรถ
๖ พ.ค.๕๗
ทีมงาน: ssbedu.com