หลาน : ลุงครับเมื่อครู่นี้ มีเพื่อนๆไลน์มาหา แจ้งว่ามีแผ่นดินไหวในประเทศไทยโดยเฉพาะเขตทางตอนเหนือของประเทศครับ ส่งรูปมาให้ดูด้วย วัดและสถานที่สำคัญหลายแห่งเสียหายพอดูเลยครับ
ลุง : อืม….ลุงเองก็คอยดูอยู่นานละ ถึงได้สละเวลาว่าง เวลาพักผ่อนมาทำสวนเศรษฐกิจพอเพียง และสวนว่าน-สมุนไพรแห่งนี้เอาไว้ เผื่อจะมีประโยชน์ในอนาคตน่ะ. กรุงเทพฯ-กำแพงเพชร มันไม่ได้ใกล้กันเลย….สู้กันด้วยหัวใจจริงๆ
วันพรุ่งนี้อาจไม่มีสำหรับลุง เราจะประมาทในธรรมมิได้ ลุงจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับวิชาบุญฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับการยับยั้งและบรรเทาภัยพิบัติทางธรรมชาติให้หลานได้ฟังละกัน เล่าไว้เผื่อตายเร็ว…หึหึหึ…

เมื่อวันที่ ๕ พ.ค.๕๗ เกิดแผ่นดินไหว ขนาด ขนาด 6.3 ริกเตอร์ ทางภาคเหนือ ทำให้ วัดร่องขุ่น อ.เมือง จ.เชียงราย ได้รับความเสียหาย ดังภาพ
ความจริงเรื่องนี้หากจะเล่าไป พรรคพวกของลุงที่ฝึกมาทางอิทธิฤทธิ์ ทางไสยศาสตร์ตามขนบโบราณ ท่านคงติงลุงไม่น้อยเพราะเป็นเรื่องนอกแบบแผนทางวิชาไสยศาสตร์ แต่ลุงเห็นว่าวิชานี้มีอยู่จริง และลุงก็มั่นใจมากยิ่งขึ้นก็เพราะได้สัมผัส รู้เห็น เรื่องราวทางจิตอันหลากหลาย เมื่อครั้งไปบวชกับหลวงตาม้า ที่วัดถ้ำเมืองนะ เป็นเวลา ๑ พรรษานั่นแหละ…
หลาน : อยากฟังจังครับ เห็นย่าว่าลุงมีเรื่องสนุกๆและประสบการณ์แปลกๆเยอะ แต่ไม่เห็นลุงจะใคร่เล่าให้ใครฟัง
ลุง : เรื่องบางอย่างมันต้อง ดูคน ดูกาละ ดูสถานที่น่ะ เรียกว่าต้องตรองในสัปปุริสธรรม (เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล ชุมชน บุคคล) ก่อนอื่น ลุงก็ต้อง ยืนยืนด้วยเกียรติทหารหาญของลุงเลยว่า ครูบาอาจารย์ของลุงคือหลวงตาม้าท่าน นั้น “ของจริง” ท่านแปลกนะ ท่านสำเร็จบุญฤทธิ์ โดยแทบไม่ผ่านกระบวนการทางอิทธิฤทธิ์เลย แบบนี้หาได้ยาก ขนาดครั้งหนึ่งหลวงปู่หวล แห่งวัดพุทไธสวรค์ ท่านจะมอบวิชาให้ทั้งหมด ท่านยังไม่เอาเลย ท่านว่าคาถามันเยอะมาก ท่านว่าบทจักรพรรดิบทเดียวก็พอแล้ว…ลุงเองก็ไม่ใช่คนโง่ และก็ไม่ใช่คนที่ประกอบด้วยศรัทธาจริตจนเกินปัญญาจริต เรื่องหลวงตาม้าลุงยืนยันได้นะว่าที่ท่านสอนนั้นมีจริงและทำได้จริง เป็นบารมีและวิชาทางสายพระโพธิสัตว์เขาน่ะ…
หลาน : ครับลุง ผมเองก็เชื่อมั่น ผมห้อยพระผงจักรพรรดิตลอดเวลาเลยครับ
ลุง : ดีแล้ว พระเครื่องฯของสายนี้โดดเด่นนะ ท่านช่วยเราได้ทั้งตอนมีชีวิต และตอนตายไปแล้ว 555
หลาน : ทำหน้างงเล็กน้อย แววตาใคร่รู้
ลุง : เอ้า…. ลองอาราธนาพระที่แขวนคออยู่นะ อาราธนากำวางไว้ที่มือแล้ว คู้บัลลังก์นั่งสมาธิ หลับตา วางจิตเบาๆ ล้างลมหายใจสักสามรอบก่อนนะ (สูดลมหายใจลึกๆ ยาวๆ และถอนลมออกลึกๆ ยาวๆ เพื่อล้างลมปราณเสียที่คั่งค้าง และปรับสภาพของธาตุให้ควรแก่งาน วิธีนี้จะคลายความง่วงขณะทำสมาธิและทรงสมาธิได้ดี) …………. แล้วเอาจิตจับลมหายใจให้จิตทรงตัวในอานาปาณสตินะ …
ต่อไป ภาวนา พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณังคัจฉามิ ปรับจังหวะคำภาวนากับลมหายใจให้เป็นเนื้อเดียวกัน ให้รู้สึกสบายๆ ไม่เร่ง ไม่ติดขัด ให้ใช้จังหวะแบบนั้นแหละ วันนี้เอาแบบมาตรฐานก่อน วันหลังค่อยสอนแบบประยุกต์

ภาพจำลองเหตุการร์คลื่นยักษ์ซึนามิ หากเกิดแผ่นดินไหวที่ทะเลรุ่นแรง อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในเมืองชายฝั่งทะเลที่มีความเสี่ยง
…………………………. ผ่านไปราวๆ ๑๐ นาที ลุงสังเกตเห็นท่านั่งของหลานเริ่มเปลี่ยนจากการนั่งคู้หลังค่อม เปลี่ยนเป็นนั่งหลังตรงอกผึ่ง ท่าทางสง่าผ่าเผย ลมหายใจดูสงบละเอียดเป็นจังหวะไม่ติดขัด ซึ่งอาการอย่างนี้เป็นภาวะจิตที่เริ่มสงบห่างจากนิวรณ์แล้วระดับหนึ่ง ด้วยเหตุว่าเมื่อจิตปรับตัวละเอียดอ่อนและสงบระงับขึ้น ก็จะแสดงออกที่ธาตุให้ปรากฏให้สังเกตได้คร่าวๆดังกล่าว … ลุงจึงค่อยๆเริ่มอธิบาย…
ลุง : เอาล่ะ ค่อยๆวางคำภาวนาลง พยายามประคองจิตแบบนี้เอาไว้แล้วค่อยๆเคลื่อนจิตไปตามคำแนะนำของลุงนะ …ค่อยๆทำความรู้สึกให้รู้ตัวทั่วพร้อมทำความสัมผัสทางใจให้ชัดแจ้ง ในเมื่อเราหลับตาอยู่ ก็อย่าใช้ตามองให้ใช้ใจมอง ให้ใช้ใจสัมผัส… (การทำสมาธิก่อนเพื่อระงับนิวรณ์ให้กำลังของจิต ผ่องใส กล้าแกร่ง อ่อนโยน ควรแก่งาน ก่อนที่จะถอยออกมาสู่สภาวการณ์ใช้งานของจิตคือระดับ “ขณิกสมาธิ” ซึ่งเป็นสมาธิในระดับที่หูสดับฟังเสียงรู้เรื่อง)
เคลื่อนจิตสัมผัสไปสัมผัสองค์พระที่กำอยู่นะ …. ทำจิตนอบน้อมขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอชื่นชมบารมีองค์พระที่กำอยู่นะ ให้สัมผัสเบาๆ “ไม่เพ่ง ไม่อยาก ไม่กด” ทำใจสบายๆนะ…..
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ผู้กองอรรถ
ทีมงาน: ssbedu.com